Tuesday, December 16, 2025

TRIPLE BILL FILM WISH LIST FOR PONAY

 

ซื้อขนม MUSAWA PUFFS ซีเรียลจากแป้งกล้วยน้ำว้าและข้าวไทย มาให้ลูกหมีกิน :-)

 

+++

 

TRIPLE BILL FILM WISH LIST

 

PONAY (OR YOU’RE NOT F***ING WELCOME) (2025, Hesome Chemamah, 27min, A+30)

+ MOTHER ISN’T MOTHERING (2025, Saroot Techasiripaiboon, 42min, A+30)

+ HAPPY NEW YEAR! แฮปเปียนิวยี่ (2025, Tanawan Sooksomwoot ธนวรรณ สุขสมวุฒิ, 30min, A+30)

 

1. พอเราได้ดู PONAY เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แล้วก็เลยนึกถึงหนังอีกสองเรื่องโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งก็คือ MOTHER ISN’T MOTHERING กับ HAPPY NEW YEAR!

 

สาเหตุที่นึกถึง MOTHER ISN’T MOTHERING นั้นคงเดาได้ไม่ยาก เพราะหนังทั้งสองเรื่องนี้พูดถึง queer ที่มีปัญหากับการเกณฑ์ทหารเหมือนกัน โดยในกรณีของ PONAY นั้นตัวละครเอกเป็น Muslim non-binary ที่ไม่อยากทำนม ส่วนใน MOTHER ISN’T MOTHERING นั้น ตัวละครเอกเป็นเกย์หนุ่มที่ไม่อยากแต่งตัวเป็นผู้หญิง เพราะฉะนั้นตัวละครทั้งสองตัวก็เลยสุ่มเสี่ยงที่จะถูกเกณฑ์ทหาร เพราะพวกเขาไม่อยากทำนมหรือไม่อยากแต่งตัวเป็นผู้หญิง

 

ส่วนสาเหตุที่เราดู PONAY แล้วนึกถึง HAPPY NEW YEAR! นั้นเป็นเพราะว่า สิ่งที่เราชอบมากที่สุดสิ่งหนึ่งใน PONAY คือการนำเสนอตัวละครที่ “รู้สึกแปลกแยกจากครอบครัว” และ “ไม่อยากกลับบ้านอย่างรุนแรง” และสิ่งนี้ก็สามารถพบได้ในหนังเรื่อง HAPPY NEW YEAR! เหมือนกัน เพียงแต่ว่าในกรณีของ HAPPY NEW YEAR! นั้น ตัวละครนางเอกเป็นผู้หญิง

 

คือปัญหาใหญ่อย่างนึงที่เรามีกับหนังสั้นไทยจำนวนมาก ก็คือหนังสั้นไทยจำนวนมาก ชอบนำเสนอตัวละครชายหนุ่มหญิงสาวที่มาเรียนต่อในกรุงเทพ แล้วพวกเขาก็ได้กลับบ้านไปเจอพ่อแม่ครอบครัวในชนบท แล้วก็มี “moment ซึ้ง ๆ เมื่อได้กลับบ้านไปเจอกับครอบครัว”

 

ซึ่งอะไรแบบนี้เป็นสิ่งที่เราไม่อินอย่างรุนแรง แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของหนังเหล่านี้แต่อย่างใดนะ เพราะหนังแต่ละเรื่องไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องมาสะท้อนชีวิตของเรา  หนังแต่ละเรื่องก็ควรจะสะท้อน “ชีวิตของคนอื่น ๆ” หรือ “ชีวิตของคนที่แตกต่างจากเรา”  หรือ “ชีวิตของคนที่มีสภาพครอบครัวแตกต่างจากเรา” ให้เราได้รับรู้ เพราะฉะนั้นเราก็ยังคงชอบหนังกลุ่มนี้หลายเรื่องในระดับ A+30 หรือชอบมากจนติดอันดับประจำปีสูงมากๆ อยู่ดี อย่างเช่นหนังเรื่อง กาลนิรันดร์ (2008, Issara Boonprasit) ที่ถือเป็น one of my most favorite Thai short films of all time แต่เป็นความชอบใน “ความงดงามในความเป็นภาพยนตร์” อะไรแบบนั้น ไม่ได้ชอบเพราะรู้สึกอินเป็นการส่วนตัว

 

แต่ในบางครั้งเราก็ได้ดูหนังสั้นไทยบางเรื่องที่นำเสนอตัวละครที่ “ใม่อยากกลับบ้าน” “ต้องการตัดขาดความสัมพันธ์จากครอบครัว” “รู้สึกแปลกแยกจากครอบครัวอย่างรุนแรง” หรือเป็นหนังที่ “ต่อต้าน moment ซึ้ง ๆ ระหว่างสมาชิกครอบครัว” ซึ่งเราก็จะอินกับหนังไทยเหล่านี้บางเรื่องตรงจุดนี้ ซึ่งเราว่าหนังเรื่อง HAPPY NEW YEAR! นำเสนอจุดนี้ได้อย่างสาแก่ใจกูอย่างรุนแรงมาก ๆ 55555 ส่วน PONAY ก็นำเสนอจุดนี้ได้อย่างน่าสนใจเหมือนกัน

 

2. ถ้าหากเทียบระหว่างหนัง 3 เรื่องใน triple bill นี้ ปรากฏว่าอันดับความชอบของหนังสวนทางกับเพศสภาพของเรา 55555 เพราะเรามองว่าตัวเองเป็นเกย์ ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับตัวละครใน MOTHER ISN’T MOTHERING แต่ปรากฏว่า ในบรรดา 3 เรื่องนี้ เรากลับชอบ HAPPY NEW YEAR! มากที่สุด ถึงแม้ตัวละครเอกจะเป็นผู้หญิง และเราอาจจะชอบ PONAY มากเป็นอันดับสอง และ MOTHER ISN’T MOTHERING เป็นอันดับสาม แต่เราก็ชอบทั้ง 3 เรื่องนี้ในระดับ “ชอบสุดขีด” (หรือ A+30) เหมือนกันนะ

 

สาเหตุที่เราชอบ HAPPY NEW YEAR! มากที่สุด ก็เป็นเพราะเหตุผลในข้อ 1 ที่เราได้เขียนไปแล้ว นั่นก็คือหนังเรื่องนี้นำเสนอ “ตัวละครเอกที่รู้สึกแปลกแยกจากครอบครัวของตัวเอง ได้อย่างสาแก่ใจกู ได้อย่างถึงใจพระเดชพระคุณอย่างถึงขีดสุด” ความรู้สึกโกรธ คับแค้นใจ ของตัวละครนางเอกในเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ touch เราอย่างรุนแรงถึงขีดสุดมาก ๆ การได้ดูหนังเรื่องนี้มันช่วยปลอบประโลมจิตใจเราได้อย่างดีมาก ๆ

 

ส่วนสาเหตุที่เราชอบ MOTHER ISN’T MOTHERING น้อยสุดนั้น สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า เรา “รำคาญพระเอก” อย่างรุนแรงมาก ๆ 55555 ถึงแม้ว่าจะเป็นเกย์เหมือนกัน เพราะในแง่หนึ่ง เราก็ “ตรงกันข้าม” กับตัวละครพระเอกของหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรง เพราะเรา “เคยชอบแต่งตัวเป็นผู้หญิงมาก ๆ เมื่อราว 30 ปีก่อน” อย่างที่เพื่อน ๆ ทุกคนคงเคยเห็นรูปเก่า ๆ ของเรามาแล้ว เพราะฉะนั้นการที่ตัวละครเกย์ใน MOTHER ISN’T MOTHERING ต่อต้านการแต่งตัวเป็นผู้หญิง เราก็เลยรู้สึกต่อต้านตัวละครตัวนี้อย่างรุนแรงไปโดยปริยาย แต่ในแง่หนึ่งมันก็ดีที่หนังเรื่องนี้ทำให้เราได้รับรู้ว่า มีเกย์แบบนี้อยู่ด้วย คือเราไม่อินกับหนังเรื่องนี้ เพราะว่า “ตัวละครเกย์ในหนังเรื่องนี้เป็นเกย์ที่มีอะไรบางอย่างตรงกันข้ามกับเรา” แต่เราก็ชอบที่หนังเรื่องนี้นำเสนอ “ตัวละครเกย์ที่มีอะไรบางอย่างตรงกันข้ามกับเรา” ในเวลาเดียวกัน คือเราไม่อินกับหนังมากนัก แต่เราก็ “ชอบสาเหตุที่ทำให้เราไม่อินกับหนังมากนัก” 55555

 

3. เรารู้สึกว่า PONAY กับ MOTHER ISN’T MOTHERING เป็น “คู่ที่เหมาะสมกันมาก ๆ” 55555 เหมือนหนังทั้งสองเรื่องนี้มันช่วยเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปให้แก่กันได้ดี

 

คือเราอาจจะชอบ PONAY มากกว่า MOTHER ISN’T MOTHERING อยู่หน่อยนึง เพราะเราชอบ “ภาษาภาพยนตร์” ของ PONAY มากกว่า ชอบความแพรวพราวทางความเป็นภาพยนตร์ของมัน ชอบเทคนิคทางภาพยนตร์ต่าง ๆ ของมัน ชอบ “ความติดตา” ในหลาย ๆ ฉากของมัน

 

แต่เรารู้สึกว่า PONAY มันเป็น “หนังประเด็น” ที่นำเสนอประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างเฉียบคม สนุกสนาน น่าสนใจ แต่เหมือนเกือบทุกอย่างในหนังมันถูกออกแบบมาเพื่อรับใช้ “การนำเสนอประเด็น” อะไรทำนองนั้นน่ะ เพราะฉะนั้นมันก็เลยอาจจะขาดมิติความเป็นมนุษย์ หรือขาดมิติทางอารมณ์ความรู้สึกความสะเทือนใจอะไรบางอย่างไป ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งผิดแต่อย่างใดในความเห็นของเรานะ เพราะในหลาย ๆ ครั้งคุณก็ต้องเลือกว่าจะทำ “หนังประเด็น” หรือ “หนัง humanist” คุณไม่สามารถเลือกเป็นได้ทั้ง Jean-Luc Godard และ Bertrand Tavernier ในเวลาเดียวกันได้

 

และเราก็รู้สึกว่า สิ่งที่ขาดหายไปใน “หนังประเด็น” อย่าง PONAY มันได้รับการชดเชยในหนังอย่าง MOTHER ISN’T MOTHERING แทน คือเรารักตัวละครนางเอกของ PONAY และเรารำคาญตัวละครพระเอกของ MOTHER ISN’T MOTHERING อย่างรุนแรงมาก แต่ในความน่ารำคาญของตัวละครพระเอก มันก็ช่วยทำให้ตัวละครตัวนี้มีความเทา ๆ มีความน่ารังเกียจและน่าเอาใจช่วยในเวลาเดียวกัน เป็นตัวละครที่ทำให้เรารู้สึก “ก้ำกึ่ง” กับมันตลอดเวลา และบางทีอะไรแบบนี้นี่แหละที่ช่วยทำให้ตัวละครตัวนี้ดูมีความเป็นมนุษย์จริง ๆ มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ตัวละครที่ถูกออกแบบมาเพื่อนำเสนอ “ประเด็น”

 

ก็เลยรู้สึกว่า หนัง 2 เรื่องนี้มันช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกันได้ดีมาก ๆ

 

4. กลายเป็นว่า ฉากที่เราชอบมากที่สุดใน PONAY ก็คือ CHAPTER ที่นางเอกคุยกับเพื่อนสาวที่เป็นเหมือนกะเทยรุ่นป้า เราว่าฉากนี้ทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครมันเป็นมนุษย์มากที่สุด และตัวละครกะเทยรุ่นป้าก็เป็นตัวละครที่น่าสนใจมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ในสายตาของเรา คือดูแล้วอยากให้มีการ spin off เป็นหนังที่เล่าเรื่องของตัวละครตัวนี้มาก ๆ

 

แต่ chapter นี้กลับดู “ติดตา” น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับฉากอื่น ๆ นะ (อย่างเช่น ฉากถ่ายหน้าชาวบ้านที่มองนางเอกด้วยความอคติ) เราก็เลยรู้สึกว่ามันน่าสนใจดีเหมือนกัน ที่ “ฉากที่ติดตา” กับ “ฉากที่สะท้อนความเป็นมนุษย์” ในบางครั้งมันเหมือนสวนทางกัน มันเหมือนกับว่าในหลาย ๆ ครั้ง “ฉากที่ติดตา” ซึ่งความติดตานั้นเกิดจาก “ไอเดียที่ดี” และ “การจัดวางองค์ประกอบภาพที่ดี” และ “การสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ดี” ในบางครั้งมันเหมือนต้องแลกด้วยความเป็นมนุษย์ของตัวละคร คือใน “ฉากที่ติดตา” นั้น ในบางครั้งตัวละครมันถูกทำให้เป็นเครื่องมือเพื่อนำเสนอประเด็นหรือสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ และต้องถูกจัดวางในตำแหน่งแห่งที่ที่เหมาะสมตามหลัก mise-en-scene, etc. เพราะฉะนั้นตัวละครในฉากติดตาบางฉากมันก็เลยเหมือนเป็น model หรือเป็น “เครื่องมือ” มากกว่าเป็นมนุษย์

 

แต่ก็มีผู้กำกับบางคนที่ balance สองสิ่งนี้ได้ดีมาก ๆ นะ อย่างเช่น Rainer Werner Fassbinder (ซึ่งอาจจะได้รับอิทธิพลตรงจุดนี้มาจาก Douglas Sirk) เหมือนหนังของเขานำเสนอได้ทั้ง “ฉากที่ติดตา” และยังคงรักษาความเป็นมนุษย์ของตัวละครในฉากนั้น ๆ ได้ดีมาก ๆ โดยเฉพาะในหนังอย่าง NORA HELMER (1974, Rainer Werner Fassbinder)

 

5. จำไม่ได้ว่าหนังเกี่ยวกับ Thai queer Muslim ที่เราได้ดูเรื่องแรกมีชื่อเรื่องว่าอะไร เหมือนเป็นหนังสั้นที่ฉายในงานหนังสั้นรอบมาราธอนในปี 2010-2015 โดยเป็นหนังสารคดีที่มีการสัมภาษณ์กะเทยชาวมุสลิม เสียดายที่เราจำชื่อหนังเรื่องนั้นไม่ได้แล้ว มีใครจำได้บ้างไหมคะ

 

ส่วนหนังเกี่ยวกับ queer Muslim ในประเทศอื่น ๆ ที่เราชอบสุดขีด ก็คือเรื่อง A JIHAD FOR LOVE (2007, Parvez Sharma, documentary), BE LIKE OTHERS (2008, Tanaz Eshaghian, Iran, documentary)  และ THIS LITTLE FATHER OBSESSION (2016, Selim Mourad, Lebanon, documentary, 93min) แต่ในกรณีของ THIS LITTLE FATHER OBSESSION นั้น เราไม่แน่ใจ 100% เต็มนะว่าตัวsubject เป็นชาวมุสลิมหรือเปล่า รู้แต่ว่าเป็นชาวอาหรับในเลบานอน

 

เหมือนมีหนังกลุ่ม queer Arab เยอะมาก ๆ เลยนะ มีเป็นร้อยเรื่อง ดูรายชื่อหนังกลุ่ม queer Arab ได้ในเว็บไซท์ของ Arab Film Institute (ลิงค์อยู่ในคอมเมนท์)

 

6. รู้สึกว่าพัฒนาการของหนังเกี่ยวกับทหารเกณฑ์ในไทย มีความน่าสนใจดี เราเดาว่ามันอาจจะแบ่งได้คร่าว ๆ เป็น 3 ยุค

 

6.1 ยุคหนังตลกเกี่ยวกับทหารเกณฑ์

 

อย่างเช่น ทหารเกณฑ์ (1980, ล้อต๊อก), กองพันทหารเกณฑ์ (1984, ประยูร วงษ์ชื่น), ทหารเกณฑ์ ผลัด 2 (1984, สนธยา ดวงทองดี), ทหารเกณฑ์บานฉ่ำ (1993, อเลกซ์) และ กองพันครึกครื้น ท.ทหารคึกคัก (2010, บำเรอ ผ่องอินทรีย์)

 

6.2 ยุคหนังต่อต้านการเกณฑ์ทหาร

 

ซึ่งเหมือนมีการผลิตกันออกมาตั้งแต่ทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา โดยหนังที่เราชอบมาก ๆ ในกลุ่มนี้ก็มีเช่น

 

6.2.1 ONE YEAR (2018, Patthaporn Ratchatakittisuntorn ภัทราภรณ์ รัชตะกิตติสุนทร)

เรื่องนี้ถือเป็น One of my most favorite Thai short films of all time

 

6.2.2 HOW TO WIN AT CHECKERS (EVERY TIME) (2015, Josh Kim, A+30)

 

6.2.3 SONG FROM YESTERDAY (Thitipat Rotchanakorn + Tanadol Sutawong, documentary, A+30)

 

ทหารเกณฑ์ในหนังสารคดีเรื่องนี้หล่อมาก ๆๆๆๆๆ

 

6.2.4 อดทน (2018, Krongpipop Wirattinan, A+10)

 

6.3 ยุคหนัง QUEER และการเกณฑ์ทหาร

 

ซึ่งที่เราเคยดูมามีอยู่ 3 เรื่อง ซึ่งก็คือ PONAY, MOTHER ISN’T MOTHERING และ BEFORE APRIL ก่อนเมษา (2020, Chaweng Chaiyawan, A+30)

 

ซึ่งก็สอดคล้องกับที่เกาหลีใต้มีหนังเรื่อง GOD’S DAUGHTER DANCES (2020, Byun Gyuri, South Korea, A+30) ออกมาในทศวรรษเดียวกัน

 

7. พอพูดถึงประเด็นนี้ เราก็เลยขอสารภาพถึง FORBIDDEN DREAM ของตัวเอง 55555 คือทุกคนก็คงรู้อยู่แล้วว่าเรามีจุดยืนต่อต้านการเกณฑ์ทหาร แต่ในขณะเดียวกัน เราก็มี FORBIDDEN DREAM ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา

 

คือมีเพื่อนเกย์/กะเทยของเราเคยเขียนลง facebook เมื่อราว 10-15 ปีก่อน ในทำนองที่ว่า “กะเทยแต่งหญิงจะไม่ถูกเกณฑ์ทหารอยู่แล้ว แต่มีเกย์บางคนที่ถูกเกณฑ์ทหาร แล้วพอพวกเธอเข้าค่ายทหารไปแล้ว พวกเธอค่อยมาออกสาวเล็กน้อยในค่าย แล้วพวกนางก็กินผู้ชายเรียบหมดทั้งค่ายค่ะ”

 

คือเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เพื่อนของเราเขียน เป็นเรื่องจริง หรือเป็นเธอมโนขึ้นมาเองนะ เพราะเราก็ไม่เคยถูกเกณฑ์ทหาร (เราเรียนรด.) แต่สิ่งที่เพื่อนของเราเขียน มันกระตุ้น sexual fantasy ของเราอย่างรุนแรงมากในช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมา คือเป็น sexual fantasy ในรูปแบบของภาพยนตร์เลย เรื่องของเกย์ที่ถูกเกณฑ์ทหารเข้าไป แล้วพอเข้าค่ายไปแล้ว เธอค่อยออกสาวเล็กน้อยแต่พองาม แล้วก็ได้กินผู้ชายหลาย ๆ คนในค่ายทหารของตัวเอง

 

เพราะฉะนั้น FORBIDDEN FANTASY ของเรา ก็เลยเป็นอย่างในย่อหน้าข้างต้น แต่เราก็ไม่ได้สนับสนุนให้ใครสร้างภาพยนตร์เพื่อตอบสนอง FORBIDDEN DREAM ของเรานะ เพราะเรากลัวว่าหนังเรื่องนั้นมันจะเป็นการสนับสนุนการเกณฑ์ทหาร หรือเป็นการกระตุ้นให้เกย์หลาย ๆ คนสมัครเป็นทหารเกณฑ์ 55555

 

8. ไหน ๆ เราก็สารภาพถึง FORBIDDEN DREAM ของตัวเองแล้ว เราก็ขอสารภาพถึงความผิดบาปที่ตัวเองเคยกระทำในอดีตด้วย

 

คือพอพูดถึง “การเกณฑ์ทหาร” แล้ว เราก็เลยนึกถึงสิ่งที่ตัวเองมักจะทำในอดีต นั่นก็คือ “การคอยตัดรูปผู้ชายถอดเสื้อตอนเกณฑ์ทหาร จากหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” มาเก็บไว้ ซึ่งจริง ๆ มันก็อาจจะไม่ใช่ “บาป” อะไร แต่มันทำให้เรา “รู้สึกผิด” รู้สึก guilty เพราะเราต่อต้านการเกณฑ์ทหาร แต่พอถึงฤดูเกณฑ์ทหาร เราก็มักจะคอยตัดรูปจากหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์มาเก็บสะสมไว้ (แต่ตอนนี้หายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้ เสียดายมาก ๆ)

 

คือก็ต้องเข้าใจนะว่า ยุคเมื่อ 30 ปีก่อน มันเป็นยุคที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต และมันเป็นยุคที่ “สื่อที่นำเสนอภาพผู้ชายถอดเสื้อ” มันมีน้อยกว่าในปัจจุบันมาก ๆ เพราะฉะนั้นในยุคเมื่อ 30 ปีก่อน เราก็ต้องคอยหา “อาหารตา” จากหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ช่วงฤดูเกณฑ์ทหารแบบนี้นี่แหละ

 

เพราะฉะนั้นเราก็เลยสงสัยว่า มีเพื่อนคนไหนเคยทำแบบเราบ้างคะ มีใครมี collection หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ช่วงฤดูเกณฑ์ทหาร เก็บสะสมเอาไว้บ้าง ถ้าหากใครมีอะไรแบบนี้เก็บสะสมไว้ ก็ได้โปรดแบ่งปันมาให้ดูกันด้วยนะคะ 55555

 

https://arabfilminstitute.org/queer-arab-films-to-watch-during-pride-month/?mc_cid=55c0b57e9c&mc_eid=536aa0795d&fbclid=IwY2xjawOsgNBleHRuA2FlbQIxMQBicmlkETFzUk1WODl6OWhZeFl6SDA3c3J0YwZhcHBfaWQQMjIyMDM5MTc4ODIwMDg5MgABHkF4j6O_zjInYvKSfgebyLivjdc1YdZlhJvQMKrX_9y_ddQhfIOx4wHbsJZP_aem_7KimyrlG0Ye0GdBiLl7jIg

 

 

 

Monday, December 15, 2025

THAI SHORT FILMS SEEN ON APRIL 20, 2018

 THAI SHORT FILMS SEEN ON APRIL 20, 2018

เทศกาลหนังจอจิ๋วที่นิเทศ จุฬา
ดูมานานแล้ว แต่ไม่มีเวลาจดบันทึกเลย
1.THE BLIND SUN AND HIS WILD FLOWER (2018, ณภัทร ดิษฐขจร, A+30)
เหมือนเพื่อนบางคนจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้ แต่เราดูแล้วรู้สึกว่ามันซึ้งมากๆ 555
2.27/11 (2018, Artist Cheamcharoenpornkul, A+25)
เป็นหนังที่ content มีความน่าสนใจน้อยมาก แต่เราว่าหนังออกมาดูแล้ว cinematic มากที่สุด เพราะเนื้อเรื่องของหนังพูดถึงพระเอกนางเอกที่กลับมาเจอกันหลังจากที่เคยห่างหายกันไป คือเรื่องความสัมพันธ์โรแมนติกแบบนี้เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในหนังนักศึกษาเป็นพันเรื่อง แต่หนังถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ออกมาได้ดีมาก ผ่านทางการออกแบบซีนต่างๆในหนัง
3.WETLAND, DRYLAND (2018, Thakoon Leesumpun, A+25)
ชอบไอเดียของหนังมากๆ ที่เอาเรื่องการฆ่าตัวตายมาจินตนาการปั้นแต่งเป็น allegory โลกทางจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่ได้ชอบหนังแบบสุดๆนะ เพราะเราว่าบทสนทนาของตัวละครในหนังมันไม่ค่อยทรงพลัง และตัวละครมันเหมือนขาดพลังด้านมืดยังไงไม่รู้ 555 คือเหมือนเราอยากรู้เรื่องความเจ็บปวดของนางเอกมากกว่านี้ หรือสัมผัสได้ถึงความหม่นเศร้าของนางเอกมากกว่านี้
จริงๆแล้วสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราไม่ได้อินกับหนังเรื่องนี้แบบสุดๆ คือสาเหตุเดียวกับที่ทำให้เราไม่ได้อินกับ NOT WAVING BUT DROWNING (2018, Pemika Sanpuang) ของ ICT ศิลปากรนั่นแหละ เพราะเรามักจะอินกับหนังที่ตัวละครฆ่าตัวตาย มากกว่าตัวละครที่ตัดสินใจอีกแบบ คือเราจะอินกับหนังแบบ THE FIRE WITHIN (1963, Louis Malle) และ THE DEVIL, PROBABLY (1977, Robert Bresson) ที่นำเสนอสภาพจิตของคนที่อยากฆ่าตัวตายได้อย่างทรงพลังมากๆน่ะ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัวว่าเราชอบ “ตอนจบ” แบบไหนมากกว่า และไม่ได้เกี่ยวกับว่า WETLAND, DRYLAND และ NOT WAVING BUT DROWNING ดีหรือไม่ดีแต่อย่างใด
หนังที่เราว่าเหมาะฉายควบกับ WETLAND, DRYLAND มากๆคือหนังของนิสิตม.บูรพาเรื่อง GOODNIGHT, ME (2016, Satapron Suphawatee) เพราะ GOODNIGHT, ME นำเสนอโลกจิตวิญญาณออกมาได้ดีมากๆเหมือนกัน
4.วงโคจร (2018, ภูรินท์ กสิคุณ, A+25)
จริงๆแล้วชอบ content ของหนังมากๆ ที่พูดถึงเพื่อนชายสองคนสมัยมัธยม ที่พอโตขึ้นเข้ามหาลัยแล้วก็ห่างหายกันไป ไม่สนิทกันอีก รู้สึกว่าจริงๆแล้วถ้าหนังมันคิดซีนออกมาได้ cinematic หรือทรงพลังกว่านี้ มันจะกลายเป็นหนังที่เราชอบสุดๆได้เลย เพราะเนื้อเรื่องมันเข้าทางเรามาก
ในแง่นึงรู้สึกว่ามันเป็นคู่แฝดของหนังเรื่อง MAGNET (ณัฐพงศ์ ประศรี) เพราะวงโคจรพูดถึงความสัมพันธ์ของหนุ่มมัธยมสองคนที่ชอบไปเที่ยวท้องฟ้าจำลองด้วยกัน ส่วน MAGNET พูดถึงความสัมพันธ์ของสาวมัธยมสองคนที่ชอบไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ด้วยกัน
5.ฉัน, สัมพัทธ์ (2018, Nitchakarn Wongsuttipakorn, A+25)
ชอบที่หนังพูดถึงประเด็นศาสนา, พระเครื่อง ผ่านทางการสนทนาระหว่างนางเอกกับอากงตาบอด
6.พลอย (2018, คณิศร สันติไชยกุล, A+20)
7.UNO (2018, A+15)
หนังน่ารักดี หนังโรแมนติกเกี่ยวกับหญิงสาวที่ใช้ไพ่ UNO ในการทำนายดวง และแอบรักเพื่อนหนุ่ม เหมือนผู้กำกับชัดเจนในแนวทางของตนเองว่าต้องการทำให้มันออกมาดูเหมือนหนังญี่ปุ่นใสๆ ซึ่งไม่ใช่สไตล์หนังที่เราชอบแต่อย่างใด แต่ก็ดีที่ผู้กำกับชัดเจนในแนวทางของตนเอง
8.อดทน (2018, Krongpipop Wirattinan, A+10)
ชอบที่หนังพูดถึงเรื่องการเกณฑ์ทหาร
9.3:17 AM (2018, Safe52, A+5)
เรื่องของผู้หญิงที่นัดชายชู้เพื่อมาเอากัน สนุกดีกับการเล่นระหว่างความฝันกับความจริง แต่ไม่ชอบตอนจบ
เหมือนเป็นคู่แฝดของหนังสั้นพม่าเรื่อง FOOTPRINTS IN THE STREAM (2017, Zaw Bo Bo Hein, A+30) เพราะ FOOTPRINTS IN THE STREAM พูดถึงสามีภรรยาที่ระแวงกันเรื่องการมีชู้ และเป็นหนังฝันซ้อนฝันที่พร่าเลือนระหว่างความฝันกับความจริง แต่ FOOTPRINTS IN THE STREAM ดีกว่ามากๆ
10.เรื่องดีดี (2018, จณิสตา อรรคสูรย์, A+5)
11.SUM (2018, Sasiwimol, A+)
หนังเลสเบียนรัก 3 เส้า รู้สึกว่าซีนในหนังมันดูธรรมดา
12.ALRIGHT (2018, Benjarat Chanbunsai, A-)

Saturday, December 13, 2025

ETERNITY VS. ALWAYS VS. INNOCENCE

 

ดีใจสุดขีดที่มีนักวิจารณ์ 23 คน เลือก HAPPYEND (2024, Neo Sora, Japan, A+30) ให้ติดอันดับหนังประจำปี 2025 ใน individual lists ของ FILM COMMENT โดยหนึ่งในผู้ที่เลือก HAPPYEND ให้ติดอันดับประจำปี ก็คือ Matias Pineiro ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังจาก Argentina

 

ดีใจมาก ๆ ด้วยที่ Matias Pineiro เลือก DRACULA (2025, Radu Jude, Romania, A+30) ให้ติดอันดับหนังประจำปีของเขา โดยมีนักวิจารณ์ 15 รายด้วยกันที่เลือก DRACULA ให้ติดอันดับประจำปี

 

เราชอบลิสท์ของ Chris Shields มากเป็นพิเศษ เพราะเขาให้ M3GAN 2.0 (2025, Gerard Johnstone, A+25) และ TO A LAND UNKNOWN (2024, Mahdi Fleifel, Palestine/Greece, A+30) ติดอันดับประจำปีด้วย

 

นักวิจารณ์ภาพยนตร์จากทั่วโลก เลือกให้ TO A LAND UNKNOWN ติดอันดับ 46 ใน 100 BEST ARAB FILMS OF ALL TIME ด้วยนะ ดีใจสุดขีด

+++

 

TRIPLE BILL FILM WISH LIST

 

ETERNITY (2025, David Freyne, A+30)

+ ALWAYS (1989, Steven Spielberg, A+30)

+ INNOCENCE (2000, Paul Cox, Australia, A+30)

 

พอเราดู ETERNITY แล้วก็เลยนึกถึง ALWAYS กับ INNOCENCE เพราะว่าหนังทั้ง 3 เรื่องนี้มีเนื้อเรื่องคล้ายกันในบางจุด

 

ALWAYS พูดถึงวิญญาณชายหนุ่ม (Richard Dreyfuss) ที่ได้แต่เฝ้ามองหญิงสาวที่ตนเองรัก (Holly Hunter) ไปพบรักกับชายหนุ่มคนใหม่ (Brad Johnson)

 

ส่วน INNOCENCE เล่าเรื่องของชายหนุ่มหญิงสาวที่เคยรักกันมาก ๆ แต่ชะตาชีวิตที่โหดร้ายส่งผลให้ทั้งสองต้องพลัดพรากจากกัน ไม่ได้ติดต่อกันอีก หญิงสาวคนนั้นแต่งงานกับชายคนใหม่ และมีชีวิตสมรสที่ดีกับชายคนใหม่ แต่ในที่สุดเธอก็ได้พบกับชายคนแรกอีกครั้ง หลังจากเวลาผ่านไป 40 ปี และเขาก็ยังรักเธอเหมือนเดิมตลอด 40 ปีที่พลัดพรากจากกัน เธอจะทำอย่างไร เธอจะเลือกใครระหว่างผู้ชายสองคนนี้ คนที่ใช้ชีวิตคู่อยู่กับเธอตลอด 40 ปีที่ผ่านมา หรือคนที่พลัดพรากจากเธอเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ไม่มีใครทำอะไรผิดเลยในชะตาชีวิตที่น่าเศร้านี้

 

เราชอบ ETERNITY มากนะ แต่ในบรรดา 3 เรื่องนี้ เราชอบ ALWAYS มากที่สุด และ INNOCENCE เป็นอันดับสอง โดยทั้ง ALWAYS กับ INNOCENCE นี่ถือเป็น ONES OF MY MOST FAVORITE ROMANTIC FILMS OF ALL TIME

GARDEN IN A POT (2025, Marisa Srijunpleang, video installation, 15min, A+30)

 

ต่อไปนี้เราจะถูกจำกัดให้แชร์ลิงค์ใน FACEBOOK ได้แค่ 4 ลิงค์ต่อเดือนเท่านั้น มีใครเจอแบบเราบ้างไหมคะ

+++

 

FILM COMMENT ประกาศลิสท์หนังยอดเยี่ยมประจำปี 2025 ออกมาแล้ว กรี๊ดดดด

 

BEST UNDISTRIBUTED FILMS 2025

 

1. WITH HASAN IN GAZA (Kamal Aljafari, Palestine)

 

Kamal Aljafari เคยกำกับ A FIDAI FILM (2024) ที่เคยเข้ามาฉายที่หอภาพยนตร์ ศาลายา

 

2. LANDMARKS (Lucrecia Martel, Argentina, documentary, A+30)

 

3. REMAKE (Ross McElwee, USA)

 

Ross McElwee เคยกำกับ SHERMAN’S MARCH (1985, A+30) ที่เราเคยดูที่ห้องสมุด มหาลัยธรรมศาสตร์

 

4. LEVERS (Rhayne Vermette, Canada)

 

5. I ONLY REST IN THE STORM (Pedro Pinho, Portugal, A+30)

 

6. ESCAPE (Masao Adachi, Japan)

 

Masao Adachi เคยกำกับ A.K.A. SERIAL KILLER (1975, A+30) ที่เราเคยดูที่ Jam Sathorn

 

7. PIN DE FARTIE (Alejo Moguillansky, Argentina)

 

Alejo Moguillansky เคยกำกับหนังเรื่อง CASTRO ที่เคยเข้ามาฉายที่โรงภาพยนตร์สยาม พารากอน หนังเรื่อง CASTRO ติดอันดับ 3 ในลิสท์หนังสุดโปรดของเราประจำปี 2009

 

8. BOUCHRA (Orian Barki, Meriem Bennani, Italy/Morocco)

 

9. SEEDS (Brittany Shyne, USA)

 

10. LAST NIGHT I CONQUERED THE CITY OF THEBES (Gabriel Azorin, Spain/Portugal)

 

BEST DISTRIBUTED FILMS 2025

 

1. ONE BATTLE AFTER ANOTHER (Paul Thomas Anderson, A+30)

 

2. THE MASTERMIND (Kelly Reichardt, A+30)

 

3. THE SECRET AGENT (Kleber Mendonça Filho, Brazil)

 

4. IT WAS JUST AN ACCIDENT (Jafar Panahi, Iran)

 

5. CAUGHT BY THE TIDES (Jia Zhangke, China)

 

6. AFTERNOONS OF SOLITUDE (Albert Serra, Spain, documentary, A+30)

 

7. MISERICORDIA (Alain Guiraudie, France, A+30)

 

8. SIRAT (Oliver Laxe, Spain, A+30)

 

9. THE SHROUDS (David Cronenberg, France/Canada)

 

10. IF I HAD LEGS, I’D KICK YOU (Mary Bronstein, USA)

 

11. SINNERS (Ryan Coogler, USA, A+30)

 

12. GRAND TOUR (Miguel Gomes, Portugal, A+30)

 

13. PETER HUJAR’S DAY (Ira Sachs, USA, A+30)

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ดีใจที่สุดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

 

14. FAMILIAR TOUCH (Sarah Friedland, USA)

 

15. BY THE STREAM (Hong Sang-soo, South Korea, A+30)

 

16. HENRY FONDA FOR PRESIDENT (Alexander Horwath, Austria)

 

17. BLUE MOON (Richard Linklater)

 

18. DIRECT ACTION (Ben Russell, Guillaume Cailleau, France/Germany)

 

Ben Russell เคยร่วมกำกับ THE WET SEASON (2008) ที่เคยเข้ามาฉายที่โรงภาพยนตร์สยาม พารากอน THE WET SEASON ติดอันดับ 14 ในลิสท์หนังสุดโปรดของเราประจำปี 2009

 

19. SOUND OF FALLING (Mascha Schilinsky, Germany, A+30)

 

20. ON BECOMING A GUINEA FOWL (Rungano Nyoni, Zambia)

 

Rungano Nyoni เคยกำกับ I AM NOT A WITCH (2017, A+30) ที่เคยเข้ามาฉายที่ Bangkok Screening Room และเคยร่วมกำกับ LISTEN (2014, A+30) ที่เคยเข้ามาฉายที่ลิโด

 

I AM NOT A WITCH ติดอันดับ 82 ในลิสท์หนังสุดโปรดของเราประจำปี 2019 ส่วน LISTEN ติดอันดับ 9 ในลิสท์หนังสุดโปรดของเราประจำปี 2015

 

สรุปว่าในลิสท์ BEST FILMS 30 เรื่องนี้ เราได้ดูไปเพียงแค่ 12 เรื่องเท่านั้นค่ะ ยังมีอีก 18 เรื่องที่เรายังไม่ได้ดู

++++

 

GARDEN IN A POT (2025, Marisa Srijunpleang, video installation, 15min, A+30)

 

กราบตีนมาก ๆ

 

เป็นวิดีโอที่สร้างความรู้สึกงดงามจนสุดจะบรรยายให้แก่เรา คือจริงๆ แล้วตัวภาพมันไม่ได้ “งดงาม” ในตัวมันเอง เพราะมันเป็นภาพต้นไม้ใบหญ้าข้างทางหรือริมรั้วบ้านหลังเล็ก ๆ แบบที่เราพบได้โดยทั่วไปตามตรอกซอกซอยในกรุงเทพ แต่พอ gaze ของหนังมันไปจับจ้อง “สิ่งธรรมดาสามัญ” เหล่านี้ แล้วภาพสิ่งธรรมดาสามัญเหล่านี้มันถูกนำมาเรียงร้อยเข้าด้วยกัน เรากลับรู้สึกว่าผลลัพธ์ที่ได้มันงดงามจนสุดจะบรรยายมาก ๆ

 

แอบนึกในใจเล่น ๆ ว่า คุณ Marisa คือ “เจ้าแม่พฤกษศาสตร์แห่งวงการ Thai video artists” 55555

 

การทำให้ “ภาพของสิ่งธรรมดาสามัญ” กลายเป็น “ภาพยนตร์/ภาพเคลื่อนไหวที่งดงามจนสุดจะบรรยาย” แบบนี้ ทำให้เรานีกถึงภาพยนตร์ของคุณ Teeranit Siangsanoh และภาพยนตร์บางเรื่องของ Chantal Akerman อย่างเช่น HOTEL MONTEREY (1973) และ NEWS FROM HOME (1976) ด้วยเหมือนกัน

 

และหนังของทั้ง 3 คนนี้ก็ทำให้เรานึกถึง quote ของ Gregory Markopoulos และNathaniel Dorsky ด้วย


Gregory Markopoulos: It is in the insignificant moment that significance becomes disturbed and the power of filmmaking is established.

 

Nathaniel Dorsky in Devotional Cinema: "If you have ever looked at your hand and seen it freshly without concept, realized the simultaneity of its beauty, its efficiency, its detail, you are awed into appreciation. The total genius of your hand is more profound than anything you could have calculated with your intellect. One's hand is a devotional object.

"If a film fails to take advantage of the self-existing magic of things, if it uses objects merely to mean something, it has thrown away one of its great possibilities. When we take an object and make it mean something, what we are doing, in a subtle or not so subtle way, is confirming ourselves. We are confirming our own concepts of who we are and what the world is. But allowing things to be seen for what they are offers a more open, more fertile ground than the realm of predetermined symbolic meaning. After all, the unknown is pure adventure."

 

ซึ่งจริง ๆ แล้วเรารู้สึกว่าภาพหรือฉากต่าง ๆ ใน GARDEN IN A POT มันก็ถูกนำมารองรับ concept และ meaning บางอย่างอยู่นะ มันยังไม่ได้ถึงขั้น “เกือบไร้ซึ่ง concept และ meaning” แบบภาพยนตร์ของ Teeranit Siangsanoh และภาพยนตร์บางเรื่องของ Chantal Akerman แต่เราก็รู้สึกอยู่ดีว่า หลาย ๆ ฉากใน GARDEN IN A POT มันไม่ได้ถูก concept และ meaning ไปครอบงำไว้แบบ 100% เต็มเหมือนในหนังทั่วไป มันเหมือนหลาย ๆ ฉากในวิดีโอนี้มัน “เปิดให้ภาพได้มีโอกาสหายใจ” ไปด้วยในขณะเดียวกัน มันเหมือนกับว่าภาพต่าง ๆ ในวิดีโอนี้อาจจะถูก concept และ meaning ครอบไว้เพียงแค่ 30% เท่านั้น และเปิดให้ภาพมันเป็นอิสระในตัวมันเองได้ถึง 70% และสิ่งนี้ก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าวิดีโอชิ้นนี้มันงดงามจนสุดจะบรรยายมาก ๆ

 

เราดูวิดีโอนี้ในนิทรรศการ MELTING MAP ที่ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์

 +++

FINDING A CAT IN PRAWET (2025, Krittanun Tantraporn, photogrammetry)

 

ชอบงานชิ้นนี้มาก ๆ ศิลปินสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์ของพื้นที่หนึ่งในเขตประเวศขึ้นมา และใส่ภาพถ่ายแมวจำนวนมากจากเขตประเวศเข้าไปในแบบจำลองนั้น ผู้ชมงานนี้สามารถคลิกเลื่อนหาภาพแมวต่าง ๆ ในแบบจำลองคอมพิวเตอร์นี้ได้ เราก็เลยรู้สึกว่ามันคล้าย ๆ กับการเล่นวิดีโอเกมที่สนุกดี

 

เราดูงานชิ้นนี้ในนิทรรศการ MELTING MAP ที่ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์

https://web.facebook.com/jit.phokaew/posts/pfbid03GJAPd6Mf675erdqYjvbWn87mn85ufECScWe6GAo68YJHwtLGUsWw4teNpsepeUBl

 

 

Tuesday, December 09, 2025

DHURANDHAR

 

เรายังไม่ได้ไปดูวิดีโอของ Araya Rasdjarmrearnsook ในงาน THE SAME OLD KARMA เลย แต่ก่อนไปดู เราก็ขอตรวจสอบก่อนว่า เราเคยดูเรื่องไหนไปแล้วบ้างใน 23 เรื่องนี้ เราจะได้รู้ว่าเราสามารถหลบไปเข้าห้องน้ำหรือหลบไปหาผัวได้ตอนที่วิดีโอเรื่องไหนฉาย

 

เรื่องที่เคยดูแล้ว

 

1.READING FOR ONE FEMALE CORPSE (1997, Araya Rasdjarmrearnsook)

ติดอันดับ 23 ในลิสท์หนังสุดโปรดของเราประจำปี 2019

 

2.READING INAOW TO FEMALE CORPSE (2001, Araya Rasdjarmrearnsook)

 

3. A WALK (2002, Araya Rasdjarmrearnsook)

ติดอันดับ 37 ในลิสท์หนังสุดโปรดของเราประจำปี 2019

 

4.GLOME PEE: THE CRYING OF THE EARTH (2005-2006, ARAYA RASDJARMREARNSOOK

 

5.“FECES, LIFE, LOVE, LUST”

 

6.THE NINE-DAY PREGNANCY OF A SINGLE, MIDDLE-AGED ASSOCIATE PROFESSOR

 

7. IN THIS CIRCUMSTANCE, THE SOLE OBJECT OF ATTENTION SHOULD BE THE TREACHERY OF THE MOON (2009, Araya Rasdjarmrearnsook, Thailand)

 

8. SOME UNEXPECTED EVENTS SOMETIMES BRING MOMENTARY HAPPINESS (2009, Araya Rasdjarmrearnsook)
+
AFTERWARDS, REGRET RISES IN OUR MEMORY EVEN FOR BYGONE HARDSHIPS (2009, Araya Rasdjarmrearnsook)

 

9.THE TREACHERY OF THE MOON (2012, Araya Rasdjarmrearnsook, video installation, 13min)

 

10.NECESSITY'S RHYTHM (2020, Araya Rasdjarmrearnsook, video installation A+30)

 

11.DOG'S PALATIAL HOUSE (2022, Araya Rasdjarmrearnsook, video installation, A+30)

 

สรุปว่าเราเคยดูไปแค่ 11 จาก 23 เรื่องนี้ ยังไม่ได้ดูอยู่อีก 12 เรื่อง กรี๊ดดดดด

++++

พอดู KEEPER เจ้าที่ปีศาจ (2025, Osgood Perkins, A+30) แล้วก็ดีใจมาก ๆ ที่ Osgood Perkins ยังคงหนักแน่นในการทำหนังในแนวทางของตัวเองต่อไป ซึ่งก็คือหนังแนวที่นำเสนอ “THE WORLD WITHOUT GOD” “THE WORLD IN WHICH GOD IS ABSENT” “THE WORLD IN WHICH GOD DOESN’T EXIST, BUT SATAN/EVIL EXISTS.”

++++

 

เติม SOUND OF FALLING (2025, Mascha Schilinski, Germany, A+30) เข้าไปเป็นเรื่องที่ 4 ในลิสท์ “หนังที่เราได้ดูในปีนี้ ที่กำกับโดยผู้หญิง และมีฉากพลิกบนลงล่าง พลิกล่างขึ้นบน”

 

โดยใน SOUND OF FALLING นั้นมีบอกไว้อย่างชัดเจนถึงสาเหตุของฉากดังกล่าวด้วย เพราะตัวละครบอกว่า ดวงตาของมนุษย์เราเห็นภาพกลับหัว แต่หัวสมองของมนุษย์แปลงสัญญาณดังกล่าวให้กลับทิศทางอีกรอบนึง เพราะฉะนั้นตัวละครก็เลยสงสัยว่า จริง ๆ แล้วหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตมนุษย์เรามันเป็นตรงกันข้ามกับสิ่งที่มันเป็นหรือเปล่า สิ่งที่ถูกจริง ๆ แล้วอาจจะเป็นสิ่งที่ผิดก็ได้ อะไรทำนองนี้

 

แต่ถ้าหากนับหนังที่กำกับโดยผู้ชายด้วย ก็ต้องรวม KEEPER (2025, Osgood Perkins, A+30) ที่ให้คนดูได้เห็น “ภาพกลับหัว” ด้วยเหมือนกัน


https://web.facebook.com/jit.phokaew/posts/pfbid033QGKDoC5NBtHU85KPc3UJ5ugSusFieP5fyVkXwVThiXCmZ23KHM51vJ9ou8csqHyl

+++

 

ภาพยนตร์เรื่อง “หน่วยรบผู้เชี่ยวชาญ” หรือ DHURANDHAR (2025, Aditya Dhar, India, 3hrs 32mins, A+30) รอบ 20.30 น.คืนนี้ ตั๋วขายไปเกินครึ่งโรงแล้วนะคะ ใครจะดูก็ซื้อตั๋วไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ดีกว่านะคะ

 

ดิฉันดูหนังเรื่องนี้แล้ว ชอบในระดับ A+30 ค่ะ แต่หนังเรื่องนี้อาจจะติดอันดับประจำปีในอันดับที่ไม่สูงมากนัก เพราะว่ามันเป็น “หนังขวาจัดคลั่งชาติอินเดีย ที่อาจจะมีการใส่ร้ายปากีสถานอย่างรุนแรง” ค่ะ คือถ้าหากวัดจาก “ทัศนคติทางการเมือง” ของหนังเรื่องนี้ ก็คงต้องให้ F กันเลยทีเดียว เพราะทัศนคติทางการเมืองของมันเลวร้ายสุดขีด

 

แต่ถ้าหากเทียบกับ “หนังขวาจัดคลั่งชาติอินเดีย” อีกหลายสิบเรื่องที่ดิฉันเคยดูมา DHURANDHAR ก็ถือเป็นหนึ่งในหนังที่ดิฉันชอบมากที่สุดในกลุ่มนี้ เพราะว่าหนังในกลุ่มนี้เรื่องอื่น ๆ มักจะพูดถึงตัวละครแค่ 2 กลุ่ม ซึ่งก็คือ “กลุ่มผู้ก่อการร้ายหัวรุนแรงชาวปากีสถาน” กับกลุ่ม “ทหารอินเดียผู้รักชาติยิ่งชีพ” แต่ DHURANDHAR มันแตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ในกลุ่มนี้ เพราะว่าหนังเรื่องนี้มันเน้นพูดถึง “กลุ่มต่าง ๆ ในปากีสถาน” อย่างละเอียด ทั้งกลุ่มนักธุรกิจ, สายลับปากีสถาน, พรรคการเมืองในปากีสถานที่ตบตีกันเอง, กลุ่มตำรวจ, แขกปาทาน และที่สำคัญที่สุดก็คือกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน Balochistan

 

การที่หนังเรื่อง DHURANDHAR เน้นพูดถึงปัญหาระหว่างรัฐบาลปากีสถาน กับกลุ่มกบฏ Balochistan ก็เลยเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ดิฉันชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+30 ค่ะ เพราะหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องแรกที่ดิฉันได้ดูที่พูดถึงปัญหา Balochistan หลังจากที่ดิฉันเคยได้แต่อ่านข่าวเกี่ยวกับประเด็นนี้ แต่ไม่เคยดูหนังที่พูดถึงประเด็นนี้มาก่อน

 

แต่ DHURANDHAR ไม่ใช่ “หนังบู๊สะบั้นหั่นแหลก” แบบ RRR (2022, S.S. Rajamouli, A+30) นะคะ หนังมีฉากบู๊น้อยมาก หนังเรื่องนี้มันเน้นแสดงให้เห็นถึง “โครงสร้างทางการเมืองในปากีสถาน” มากกว่า ดูหนังเรื่องนี้แล้วจะนึกถึงหนังอย่าง RAAJNEETI (2010, Prakash Jha, India, A+30) อะไรแบบนั้นมากกว่า

 

ซึ่งการที่หนังเรื่องนี้ไม่เน้นฉากบู๊ แต่เน้นแสดงให้เห็นถึง “โครงสร้างทางการเมืองอันซับซ้อน” ระหว่าง นักการเมือง, นักธุรกิจ, แก๊งนักเลง, ตำรวจ, สายลับ, กลุ่มอิทธิพลเชื้อชาติ (แก๊งแขกปาทาน), ศัตรูต่างชาติ, และ “ศัตรูภายในชาติ” (กบฏ Balochistan) ที่แต่ละกลุ่มต่างก็ช่วยเหลือกันเอง และต่างก็ห้ำหั่นกันเอง ฆ่าฟันกันเอง แล้วแต่สถานการณ์ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร อะไรแบบนี้ก็เลยทำให้นึกถึง การเมืองไทย อยู่เหมือนกัน 55555

 

ในแง่นึง DHURANDHAR กับ WARFARE (2025, Alex Garland, Ray Mendoza, A+25) ก็เป็นหนังที่ทำให้ดิฉันรู้สึก “เสียดายอย่างสุดขีด” เหมือน ๆ กัน เพราะดิฉันชอบความ cinematic ของหนังสองเรื่องนี้อย่างสุดขีดคลั่งมาก ๆ แต่ทัศนคติทางการเมืองของหนังสองเรื่องนี้มันเลวร้ายจริง ๆ ดิฉันก็เลยไม่สามารถชอบหนังสองเรื่องนี้ได้มากเท่าที่ควร



Sunday, December 07, 2025

DUKE 2006

 

เพิ่งสังเกตว่าผู้กำกับที่เคยเข้าชิงรางวัลดุ๊ก หรือรางวัล “หนังสารคดียอดเยี่ยม” ในเทศกาลหนังสั้นปี 2006 หลายคนนี่เรียกได้ว่าเป็นตัวแม่หรือเป็นผู้กำกับที่น่าสนใจมาก ๆ

 

ผู้กำกับที่เคยเข้าชิงรางวัลหนังสารคดียอดเยี่ยมในปี 2006 รวมถึง

 

1. Pimsiri Petchnamrob from the film SPACE ระหว่างเรา

ถ่ายภาพโดย ปุณณวิชญ์ เทศนา

 

2. Tanatchai Bandasak from the film NOON พักเที่ยง

 

3. Nawapol Thamrongrattanarit from the film SEE

 

4. Chulayarnnon Siriphol from the film SLEEPING BEAUTY

 

5. Panu Aree from the film IN BETWEEN แขก

 

6. Nontawat Numbenchapol from the film WEIRDROSOPHER WORLD โลกปะราชญ์

 

7. Vichart Somkaew from the film SONGKRAN

 

8. Wanweaw Hongwiwat from the film SATURDAY NIGHT คืนวันเสาร์

 

ในบรรดาหนัง 8 เรื่องนี้ เราได้ดูไปแค่ 6 เรื่อง ยังไม่ได้ดูอยู่ 2 เรื่อง ซึ่งก็คือ SPACE ของคุณ Pimsiri กับ NOON ของคุณ Tanatchai

+++++++++

ข่าวที่ออกมาในช่วงนี้ทำให้นึกถึงหนัง 4 เรื่องนี้อย่างรุนแรงมาก

 

1. A USEFUL GHOST (2025, Ratchapoom Boonbunchachoke)

 

2. HARA FACTORY WORKERS STRUGGLE การต่อสู้ของกรรมกรหญิงโรงงานฮาร่า (1975, Jon Ungpakorn, documentary)

 

3. COUP POUR COUP (1972, Marin Karmitz, France)

 

4. PROFIT MOTIVE AND THE WHISPERING WIND (2007, John Gianvito, documentary)

++++

 

ซื้อปากกาด้ามใหม่ให้ลูกหมีใช้ เป็นปากกาที่มี 10 สีในแท่งเดียวกัน ลูกหมีก็เลยทดลองใช้ปากกานี้เขียนประโยคต่าง ๆ ค่ะ

https://web.facebook.com/photo?fbid=10241510359559232&set=a.10200270702673584

 

Saturday, December 06, 2025

SIGHT AND SOUND LIST 2025

SIGHT AND SOUND ประกาศ TOP 50 FILMS OF 2025 ออกมาแล้ว งดงามที่สุดดดดดดด ในบรรดาหนัง 50 เรื่องนี้ เราเคยดูแค่ 20 เรื่อง ซึ่งได้แก่

 

1. April

Dea Kulumbegashvili, Georgia, Italy, France

 

2. Dry Leaf

Alexandre Koberidze, Germany, Georgia

 


3. Resurrection

Bi Gan, China, France

 

4.Misericordia

Alain Guiraudie, France, Spain, Portugal

 

5.Sorry, Baby

Eva Victor, USA, Spain, France

 

6. Miroirs No. 3

Christian Petzold, Germany

 

7. The Love That Remains

Hlynur Pálmason, Iceland, Denmark, Sweden, France

 

8.One Battle After Another

Paul Thomas Anderson, USA

 

9.Afternoons of Solitude

Albert Serra, Spain, France, Portugal

 

10. What Does That Nature Say to You (Hong Sang-soo, South Korea)

 

11. Landmarks

Lucrecia Martel, Argentina, USA, Mexico, France, Netherlands

 

12.  My Father’s Shadow

Akinola Davies Jr., UK, Nigeria

 

13. Kontinental ’25

Radu Jude, Romania, Brazil, Switzerland, UK, Luxembourg

 

14. Sirât

Oliver Laxe, Spain, France

 

15. The Mastermind

Kelly Reichardt, USA, UK

 

16. Sinners

Ryan Coogler, USA

 

17. No Other Choice

Park Chan-wook, South Korea

 

18. Weapons

Zach Cregger, USA

 

19. The Phoenician Scheme

Wes Anderson, USA

 

20. 28 Years Later

Danny Boyle, USA, UK

 

ดูอันดับของ SIGHT AND SOUND ได้ที่

https://www.bfi.org.uk/sight-and-sound/polls/50-best-films-2025?fbclid=IwY2xjawOf8lBleHRuA2FlbQIxMQBzcnRjBmFwcF9pZBAyMjIwMzkxNzg4MjAwODkyAAEeEX0CoQ1B0JyFdemMy14AAJgEIPo9925IztIlJgZHdzM9BdhS-EblJ0R7tos_aem_vDKdFH8EQxFUFVTgblr6pg


AT THE TOP OF THE MOUNTAIN

 

DHURANDHAR (2025, Aditya Dhar, India, 3hrs 32mins) เข้าฉายแล้ววันนี้ที่มาบุญครอง หนังเรื่องนี้มีความยาวเพียงแค่ 212 นาทีเท่านั้นเอง

 

เห็นว่ามีคนจองตั๋วที่นั่งแถวหน้าสุด 2  คนแล้วด้วย อยากรู้ว่าเป็นใคร 55555

+++

 

แม่หมีจับได้ว่า ลูกหมีแอบซื้อหนังสือ “ประวัติศาสตร์ที่เพศสร้าง” ของ ชานันท์ ยอดหงษ์ กับ “เดนดาว NEVER DIE” ของจิตจงกล มาอ่าน

++++

 

Matthew Wilder แห่งนิตยสาร ARTFORUM ได้เผยอันดับ TOP TEN FILM 2025 ของเขาออกมาแล้ว ซึ่งประกอบด้วย

 

1. www.RachelOrmont.com (2025, Peter Vack, 83min)


2. Afternoons of Solitude (Albert Serra, Spain) 

 

3. Love (Dag Johan Haugerud, Norway)

 

4. Eden (Ron Howard)

 

5. Parthenope (Paolo Sorrentino, Italy)

 

6. L’empire (Bruno Dumont, France) 

 

7. F1 (Joseph Kosinski)

 

8. The Shrouds (David Cronenberg)

 

9. Baby Invasion (Harmony Korine, 80min)

 

10. Mission: Impossible—The Final Reckoning (Christopher Mcquarrie)

 

ใน 10 เรื่องนี้เราได้ดูไปแค่ 6 จาก 10 เรื่อง ดีใจสุดขีดกับ EDEN และ PARTHENOPE เพราะเราไม่ได้เห็นหนัง 2 เรื่องนี้ติดอันดับประจำปีของคนอื่น ๆ มาก่อน

 

https://www.artforum.com/lists/matthew-wilder-best-of-film-2025/www-rachelormont-com-peter-vack/

 

+++

 

จานประทับใจ  (ธีรภัทร์ คำสีสุข, สุชาวดี สะราคำ, 5.36 นาที, A+)

 

ดูหนังเรื่องนี้แล้วทำให้อยากกิน “แกงส้มไข่เจียวใส่กระเจี๊ยบ สูตรชาวมอญ” แบบในหนัง 55555

 

IN THE DEEP OF FLAVOR จิตรู้รส (ธนพนธ์ เพ็ญพิมาย / 25.58 นาที, sci-fi, A+30)

 

ดูหนังเรื่องนี้แล้วทำให้อยากกิน “ผัดหมี่พิมาย” มาก ๆ

 

เหมือนหนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลอย่างชัดเจนจากหนังเรื่อง RIVULET OF UNIVERSE (2024, Possathorn Watcharapanit) ด้วย

 

JIN LI AI จิน ลี่ ไอ  (อัจจิมา ภูเก้าล้วน / 26.33 นาที, queer film, lesbian film, A+25)

 

AT THE TOP OF THE MOUNTAIN จุดสุดยอด (ศุภณัฐ อัครกรโยธิน / 7.11 นาที, A+30)

 

หนังเล่าเรื่องของเด็กชายที่แข่งขันเป่าขลุ่ยเพียงออ ในขณะที่ครูตีฉิ่งฉับไม่หยุด จนนักเรียนบางคนทนไม่ได้ และผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนก็หายตัวไปเรื่อย ๆ

 

ชอบความเซอร์เรียลของหนังมาก ๆ คิดว่าจริง ๆ แล้วหนังเรื่องนี้ฉายควบกับ BATTLE ROYALE (2000, Kinji Fukasaku, Japan) และ THE LONG WALK (2025, Francis Lawrence) ได้เลย

 

GARAGE GANGSTER โจ๋ปล้นโจร (ศิษฏ ศรียาภัย / 27.36 นาที, A+)

 

ดูแล้วนึกถึงกลุ่มหนังของ Guy Ritchie + พระนครฟิล์ม ซึ่งเป็นกลุ่มหนังที่ไม่เข้าทางเราเท่าไหร่ 55555 แต่ก็ประทับใจที่หนังเรื่องนี้ใช้ “ผู้กำกับภาพยนตร์ที่เก่งกาจ” 3 คนมาเป็นนักแสดงในหนัง ซึ่งได้แก่ Wachara Kanha, Kantapon Duangdee และ Natthaworn Suriyasarn

 

Friday, December 05, 2025

NATIONAL BOARD OF REVIEW AND INDIEWIRE

 

ดีใจสุดขีดกับหนังหลาย ๆ เรื่องที่ชนะรางวัลของ National Board of Review นะคะ โดยเฉพาะ

 

THE LOVE THAT REMAINS (2025, Hlynur Pálmason, Iceland)

SORRY, BABY (2025, Eva Victor)

SIRAT (2025, Oliver Laxe, Spain)

THE MASTERMIND (2025, Kelly Reichardt)

URCHIN (2025, Harris Dickinson)

SINNERS (2025, Ryan Coogler)

ARCO (2025, Ugo Bienvenu, France, animation)

BRING HER BACK (2025, Danny Philippou, Michael Philippou, Australia)

F1: THE MOVIE (2025, Joseph Kosinski)

ORWELL: 2+2=5 (2025, Raoul Peck, France/USA)

GOOD BOY (2025, Ben Leonberg)

 

กราบขอบพระคุณผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ในไทยและ programmer ของ Bangkok International Film Festival 2025 ที่นำหนังเหล่านี้มาฉายในโรงภาพยนตร์ในไทยในปีนี้ค่ะ ดีใจสุดขีดที่ได้ดู THE LOVE THAT REMAINS, URCHIN, ARCO, THE MASTERMIND และ ORWELL: 2+2=5 ในโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพใน BKKIFF 2025

 

+++

 

INDIEWIRE ประกาศ TOP 25 FILMS OF 2025 ออกมาแล้ว ปรากฏว่าเราได้ดูไปเพียงแค่ 11 จาก 25 เรื่อง ซึ่งในบรรดา 11 เรื่องนี้ ถ้าหากจัดอันดับตามความชอบของเราเองในตอนนี้อาจจะได้ดังนี้

 

1.  APRIL (2024, Dea Kulumbegashvili, Georgia)

2. RESURRECTION (2025, Bi Gan, China)

3. MISERICORDIA (2024, Alain Guiraudie, France)

4. SORRY, BABY (2025, Eva Victor)

5. ONE BATTLE AFTER ANOTHER (2025, Paul Thomas Anderson)

 6. MY FATHER’S SHADOW (2024, Akinola Davies Jr.)

7. SIRAT (2025, Oliver Laxe, Spain)

8. URCHIN (2025, Harris Dickinson, UK)

9. SINNERS (2025, Ryan Coogler, A+30)

10. 28 YEARS LATER (2025, Danny Boyle, UK, A+25)

11.THE NAKED GUN (2025, Akiva Schaffer, A+)

 

https://www.indiewire.com/gallery/best-movies-2025/